Please select your country / region

ภาวะระบาดหนักได้ส่งผลกระทบต่อทุกท่านในปีนี้ และถึงแม้ว่าในขณะนี้เรายังต้องรับมือกับความยากลำบากนี้อยู่ แต่ว่ารายการแข่งขันกีฬารอบโลกก็ได้กลับมาดำเนินการต่อแล้ว แต่ว่าไม่สามารถมีผู้ชมสดในสนามได้ และกรณีเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับ FIA Gran Turismo Championships ด้วยเช่นกัน ที่เริ่มต้นเดือนนี้กันด้วยการให้ผู้เข้าแข่งขันร่วมเข้าแข่งขันผ่านทางวิดีโอ แต่กระนั้นเราก็ค้นพบว่า ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ชมมาส่งเสียงเชียร์แบบเดียวกับในอีเวนต์ FIA GT Championship ครั้งที่ผ่านมาก็ตาม แต่รายการแข่งขันก็มีความเข้มข้นและตื่นเต้นเหมือนดั่งเช่นเคย

สำหรับปี 2020 นี้จะมีการปรับแก้รูปแบบเล็กน้อย โดยภูมิภาคหลัก 3 ภูมิภาคซึ่งได้แก่อเมริกาเหนือกลางใต้ เอเชีย-โอเชียเนีย และ EMEA (ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) แต่ละภูมิภาคจะมีนักแข่งที่ได้อันดับดีที่สุด 12 ท่านจากภูมิภาคนั้น และจะมีผู้เล่นอีก 4 คนเพิ่มเติมที่จะได้ผ่านเข้ารอบทางสเตจพิเศษ รวมเป็นผู้แข่งขันทั้งหมด 16 คน นักแข่งจะต้องลงมาแข่งขันกันในการแข่งขัน 3 การแข่งขัน และผู้ที่ได้ 8 อันดับแรกจากภูมิภาค EMEA จะผ่านเข้าไปยังรอบ World Finals (หมายเหตุ: สำหรับภูมิภาคอเมริกาเหนือกลางใต้จะนับเฉพาะ 4 อันดับแรกเท่านั้น ส่วนภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนียจะนับเฉพาะ 3 อันดับแรก โดยแยกออกจาก Takuma Miyazono แชมป์จากประเทศญี่ปุ่นที่ได้ผ่านเข้ารอบโดยอัตโนมัติในฐานะที่เป็นแชมป์เก่าปีที่แล้ว) ลำดับการออกตัวของการแข่งขันทั้งหมดจะตัดสินกันด้วยรอบคัดเลือกจับเวลา 10 นาที โดยจะให้แต้มแก่ผู้ที่ได้ 10 อันดับแรกจากแต่ละการแข่งขัน เพราะฉะนั้น ถึงเวลากันแล้วเราเริ่มการแข่งขันกันเลยดีกว่า!

การแข่งขันที่ 1

สนามของการแข่งขันแรกของรายการแข่งขันประจำปี 2020 ก็คือออโต้โดรม ลาโก้ มัจจอเร โดยผู้เล่นจะต้องลงขับขี่ในรถแข่ง Gr.3 รวมทั้งหมด 7 รอบสนาม รถยนต์ทุกคันจะเริ่มออกตัวด้วยยางเนื้อยางแข็ง (และไม่มีการเปลี่ยนยางหรือการแวะเติมน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการแข่งขันครั้งนี้) Valerio Gallo (Williams_BRacer) จากประเทศอิตาลีที่ขับ Honda NSX ออกตัวเป็นคนแรกตามมาด้วย Baptiste Beauvois (PRIMA_Tsu Tsu) ลำดับที่ 2 จากประเทศฝรั่งเศสที่ขับ McLaren650S ส่วนลำดับที่ 3 ก็คือ Jose Serrano (PR1_JOSETE) ชาวสเปนที่ขับ Audi LMS และลำดับที่ 4 ก็คือ Rick Kevelham (HRG_RIK23) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ขับ Renault Sport R.S. 01 และทั้งหมดนี้ก็คือผู้ที่ออกตัว 4 ลำดับแรก แล้วก็ทำให้เห็นได้ว่าเกิดการแข่งขันกันตั้งแต่เริ่มออกตัว เพราะว่านักแข่ง 15 อันดับแรกนั้นทำเวลาได้ห่างกันเพียงแค่ประมาณ 1 วินาทีเท่านั้น

การออกตัวแบบโรลลิ่งได้ทำให้นักแข่งสามารถออกตัวได้อย่างขาวสะอาด และเข้าสู่โค้งแรกเรียงเป็นแถวเดียวกัน ไม่มีการออกทีท่าที่ดูดุดัน หรือไม่มีการพยายามแซงอย่างหนักหน่วง เพราะว่าทุกคนกำลังรอให้ยางของตนเองวอร์มอัปก่อนที่จะเริ่มทำอะไร และจากนั้น Coque López จากประเทศสเปน ก็เริ่มสัมผัสได้แล้วว่ายางมิชลินของตนเองเข้าที่แล้วเมื่อสิ้นสุดรอบสนามที่ 1 จึงตัดสินใจดำเนินการสำคัญครั้งแรกของวัน ด้วยการนำ Peugeot RCZ ของตนเองฉีกออกทางวงนอกของ Renault ของ Kevelham เพื่อหาทางแซง แต่ว่าชาวดัตช์ของเราก็สามารถป้องกันตำแหน่งของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม López ก็ไม่ยอมลดละเพราะว่าสามารถแซง Kevelham ไปได้ในโค้งแรกของรอบสนามถัดมาขึ้นไปอยู่ลำดับที่ 4 ต่อจากนั้น Giorgio Mangano (Williams_Gio) จากประเทศอิตาลีก็ตามประชิดแซง Kevelham ที่กำลังความเร็วตกไปได้ดูเหมือนว่าอาจจะเป็นผลจากแรงกดดันของสถานการณ์

ในขณะที่ลำดับที่ 4 ถึงลำดับที่ 6 กำลังแข่งขันกันเองอยู่นั้น รถแข่ง 3 อันดับแรก ที่ขับขี่โดย Gallo, Beauvois และ Serrano ก็เริ่มค่อย ๆ ทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ พอมาถึงครึ่งของการแข่งขัน ก็มีลำดับของการวิ่งเป็นดังนี้คือ Gallo, Beauvois, Serrano, López และ Kevelham แล้วก็เกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นจนได้ในรอบสนามที่ 5 เพราะว่า Porsche 911 RSR ของ Mangano สามารถแซง Renault ของ Kevelham ยึดลำดับที่ 5 มาได้ จากนั้น รถแข่งแต่ละคันก็ทำความเร็วกันได้ถึง 245 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ช่วงทางตรงด้านหลัง ซึ่งก็เป็นจุดที่เกิดการประชันกันในช่วงกลางขบวนระหว่าง Marcus Kononen (maatu79) จากประเทศฟินแลนด์, Adam Tapai (TRL_ADAM18) จากประเทศฮังการี, Christian Malki (PR1_FIRE) จากประเทศสวีเดน และ Nikita Moysov (ERM_Nick) จากสาธารณรัฐเช็ก

พอมาถึงรอบสนามที่ 6 Moysov ที่ขับ Ford GT ก็โดน Citroën GT ของ Tapai จ่อท้ายมาติด ๆ กันชนหลัง แต่ว่านักแข่งชาวฮังการีของเราก็ขับได้อย่างยอดเยี่ยมและสามารถป้องกันการโจมตีพร้อมทั้งรักษาลำดับของตนเองเอาไว้ได้ และในขณะเดียวกัน Gallo กับ Beauvois ก็นำห่างออกไปมาก และวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 กับที่ 2 โดยมี Serrano กับ López ชาวสเปนตามมาเป็นอันดับที่ 3 กับอันดับที่ 4

การแข่งขันที่ 2

ลำดับการออกตัวในการแข่งขันครั้งนี้จะไม่เหมือนกับรูปแบบทั่วไป เพราะว่าไม่ได้ตัดสินลำดับการออกตัวก่อนหลังตามอันดับเข้าเส้นชัยจากการแข่งขันครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นการมีช่วงคัดเลือกจับเวลา 10 นาทีอีกช่วงหนึ่ง ทำให้หมายความว่านักแข่งที่ทำผลงานได้ไม่ดีในการแข่งขันครั้งที่ 1 ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ออกตัวก่อนในการแข่งขันครั้งที่ 2 ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขัน 10 รอบสนามในสนามออโต้โดรโม่ นาเซียวนาเล่ มอนซ่า แบบไม่มีโค้งชิเคน โดยแข่งขันด้วยรถแข่ง Gr.1 แต่กระนั้นก็ตาม ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมากนักสำหรับ Valerio Gallo (อิตาลี) ผู้ที่ขับ Peugeot 908 ออกตัวเป็นอันดับแรกครั้งที่ 2 ของวัน ส่วนคนที่ออกตัวตามมาก็คือ Jose Serrano จากประเทศสเปน ตามมาด้วย Baptiste Beauvois จากประเทศฝรั่งเศส

การแข่งขันครั้งนี้ใช้ยางเนื้อยางแข็งของมิชลิน โดยรถแข่งจะมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นออกตัวกันเป็นแถวเดียว โดย Audi R18 Hybrid ของ Serrano พุ่งแซงผ่าน Peugeot ของ Gallo ไปนำอยู่หน้าขบวนทันทีที่ธงเขียวโบกสะบัด และเมื่อมาถึงทางตรงด้านหลังที่รถแข่งสามารถทำความเร็วได้ถึง 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Coque López จากประเทศสเปนที่ขับ Jaguar XJR-9 ก็เคลื่อนตัวขึ้นมา 2 ลำดับมาอยู่ในลำดับที่ 5 อย่างรวดเร็ว แซง Nikita Moysov (สาธารณรัฐเช็ก) กับ Marcin Świderek จากประเทศโปแลนด์ไปได้

เมื่อเริ่มรอบสนามที่ 2 ทางด้าน Gallo ก็สามารถยึดตำแหน่งหัวแถวคืนจาก Serrano ได้ เป็นการประกาศให้ทุกคนรู้ว่าถ้าจะเอาชนะการแข่งขันได้ ต้องเอาชนะเขาให้ได้ในวันนั้น เมื่อมาถึงรอบสนามที่ 3 Salvatore Maraglino จากประเทศอิตาลีก็เริ่มชาร์จอย่างดุดัน เข็นลำดับของตนเองจากลำดับที่ 11 ขึ้นมาอยู่ในลำดับที่ 6 แซงผ่าน McLaren VGT ของ Świderek ไปได้ แต่ว่ากลุ่มหัวแถวก็แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กันอย่างดุดันหนักหน่วง เพราะ Świderek ก็สามารถยึดลำดับที่ 6 คืนมาจากนักแข่งชาวอิตาลีได้ผ่านทางโค้งเคอร์วา กรันเด

ในรอบสนามที่ 4 ก็มีการต่อสู้ที่ดีเกิดขึ้นในช่วงหัวขบวนที่ Beauvois แซงผ่าน Serrano ไปอยู่ในลำดับที่ 2 แต่ถึงกระนั้นก็ยังตามหลัง Gallo ผู้นำหัวแถวที่รีดพลังของรถแข่ง Peugeot ออกมาได้อย่างเต็มพิกัดอยู่ถึง 2.0 วินาที แต่ในทางกลับกัน ก็ดูเหมือนว่า Serrano มีปัญหากับการเกาะถนนกับ Audi Hybrid ของตนเอง โดน Adam Tapai จากประเทศฮังการีแซงขึ้นไปได้ นี่เป็นอะไรที่เรียกว่าเหลือเชื่อมากเพราะว่า 1991 Mazda 787B เครื่องโรตารี 4 ลูกสูบ แซง 2012 Audi R18 Hybrid รถแข่งที่มีอายุต่างกันถึงมากกว่า 20 ปีไปได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้แต่ในโลกของ Gran Turismo Sport เท่านั้น!

เมื่อมาถึงครึ่งทางของการแข่งขัน ก็มีลำดับของการวิ่งดังนี้: Gallo, Beauvois, Tapai และ López ที่เพิ่งแซง Serrano ขึ้นมาได้ ตามมาด้วยคู่หูชาวอิตาลี Giorgio Mangano ที่ขับ Nissan R92 กับ Salvatore Maraglino (PR1_PIRATA666) ที่ขับ Peugeot L750R Hybrid

ส่วนในรอบสนามที่ 7 กับ 8 นั้นก็ไม่มีดราม่าอะไรสำคัญ นักแข่งทุกคนรักษาจังหวะได้อย่างสบายๆ แต่ก็อาจจะยกเว้น Świderek ไว้ 1 คนที่หล่นลงไปอยู่ลำดับที่ 11 ทั้งที่ออกตัวอยู่ในลำดับที่ 5 แต่ว่าคนที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ก็คือ Gallo เป็นแน่แท้ เพราะว่านำห่าง Beauvois ที่ 2 ออกไปเกินกว่า 3.5 วินาทีได้ และในขณะเดียวกัน Serrano ก็พยายามที่จะแซงเพื่อนร่วมชาติขึ้นไปอยู่ในลำดับที่ 4 แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่า Audi มีพลังทางตรงที่ไม่เพียงพอที่จะสามารถแซง Jaguar ของ López ไปได้

การแข่งขันสิ้นสุดลงด้วย Gallo เข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 เป็นครั้งที่ 2 ของวัน เก็บแต้มไปได้อีก 12 แต้มแบบทิ้งห่าง มีแต้มรวมอยู่ทั้งหมด 24 แต้มผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ นอกจากนั้น Beauvois ก็แสดงฝีมือได้อย่างดีอีกครั้งหนึ่ง ตามมาด้วย Tapai, López และ Serrano เป็น 5 อันดับแรก

รอบชิงชนะเลิศ

สนามสำหรับการลงชิงชัยในรอบชิงชนะเลิศ คือการวิ่ง 20 รอบสนามบนเซอร์กิต เดอ สปา-ฟรังก์คอร์ฌองส์ในตำนาน ผู้เล่นทุกคนจะต้องรัดเข็มขัด (ในโลกเสมือน) ในรถแข่ง Red Bull X2019 Competition ที่มีความเร็วสูงยิ่งยวด พร้อมทั้งมีการกำหนดให้ต้องใช้เนื้อยางทั้ง 3 ประเภท (อ่อน ปานกลาง แข็ง) เป็นอย่างน้อย 1 รอบสนาม ซึ่งทำให้หมายความว่าชัยชนะหรือความพ่ายแพ้จะวัดกันที่กลยุทธ์การเข้าพิต และนอกจากนั้น เนื่องจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะให้แต้ม 2 เท่า ก็หมายความว่าทุกคนสามารถเป็นแชมป์ได้ ถ้าผู้ที่มีแต้มนำอยู่ ซึ่งก็คือ Valerio Gallo (อิตาลี) กับ Baptiste Beauvois (ฝรั่งเศส) เกิดพลาดท่าขึ้นมา

พูดกันได้เลยว่า ก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันนั้น เราไม่สามารถที่จะคาดการณ์การเข้าเส้นชัยได้เลย และวันนี้จะเป็นวันที่น่าตื่นเต้นอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่า Gallo ทำเวลาในรอบคัดเลือกจับเวลาได้ไม่ดี และร่วงลงไปออกตัวอยู่ในลำดับที่ 10 และขณะนี้โชคชะตาก็เข้าข้าง Beauvois กันอย่างหนักหน่วงเพราะว่าสามารถออกตัวเป็นลำดับแรกได้ ตามมาด้วย Jose Serrano จากประเทศสเปนอยู่ในลำดับที่ 2 และ Adam Suswillo จากสหราชอาณาจักรที่ทำผลงานได้ไม่ดีในการแข่งขัน 2 ครั้งแรก ออกตัวในลำดับที่ 3

Serrano, Rick Kevelham (เนเธอร์แลนด์) ที่ออกตัวเป็นลำดับที่ 4 และ Coque López จากประเทศสเปนที่ออกตัวเป็นลำดับที่ 5 ทั้งสามคนต่างออกตัวด้วยยางเนื้อยางอ่อน เพื่อพยายามนำ Beauvois กับ Suswillo ที่ออกตัวด้วยยางเนื้อยางปานกลางที่มีความเร็วต่ำกว่า ให้ได้ตั้งแต่ช่วงต้น

เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น Serrano ก็เริ่มออกฤทธิ์ทันที วิ่งแซง Beauvois ได้ที่ไรดิล์ยง (โค้งที่ 3) และ López ก็ยึดลำดับที่ 4 มาจาก Kevelham และตามขึ้นไปยึดลำดับที่ 3 ต่อมาจาก Suswillo ได้ เมื่อจบรอบสนามที่ 1 นักแข่งที่ใช้ยางเนื้อยางแข็ง ซึ่งรวมถึง Gallo ด้วย ได้มุ่งเข้าสู่พิตเพื่อทำตามกฎการแข่งขัน พอ Gallo มุ่งหน้าออกมา ก็มีช่องว่างระหว่างรถคันที่อยู่ข้างหน้าถึง 11 วินาที หมายความว่าเขามีทางโล่ง ๆ อยู่ข้างหน้าให้วิ่งได้เลย และในขณะเดียวกันนั้น López ก็แอบแซงผ่าน Beauvois ขึ้นไปอยู่ลำดับที่ 2 อย่างเงียบ ๆ และสำหรับนักแข่งชาวฝรั่งเศสของเราก็ดูเหมือนว่าอะไรต่าง ๆ จะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ เพราะว่าเขาสูญเสียการควบคุม Red Bull X2019 ของตนเองตอนที่ออกมาจาก เลอส์ คูมบ์ส (โคงที่ 9) ชนเข้ากับผนัง และลงไปอยู่ลำดับที่ 7 ในชั่วพริบตาเดียว อยู่ข้างหน้า Gallo ที่อยู่ในลำดับที่ 8 ผู้ที่ไม่อยากเชื่อสายตาตนเองถึงสิ่งที่ได้เห็นอยู่ข้างหน้า แต่นักแข่งชาวอิตาลีของเราก็ถูกทำโทษ 1.0 วินาที ทำให้ Beauvois ได้ประโยชน์ในการแข่งขันชิงแชมป์ในครั้งนี้

เมื่อมาถึงรอบสนามที่ 6 López ก็ยึดที่ 1 มาจาก Serrano ได้ ด้วยการแซงทางตรงเคมเมลที่ความเร็ว 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าพิตเปลี่ยนไปใช้ยางเนื้อยางอ่อนอีกครั้ง ปล่อยลำดับที่ 1 คืนกลับไปให้เพื่อนร่วมชาติ Kevelham ชาวดัตช์ของเราที่ใช้ยางเนื้อยางอ่อนอยู่ ก็เข้าชาร์จอย่างหนักหน่วง ไต่ลำดับขึ้นมาอยู่ที่ 2 แซง Serrano ไปได้ และจ่อท้าย López ที่นำหัวขบวนอยู่ นอกจากนั้น Serrano ก็ยังโดน Giorgio Mangano แซงขึ้นหน้าไปได้จากลำดับที่ 7 ไปอยู่ลำดับที่ 3
เมื่อมาถึงครึ่งทางของการแข่งขัน ก็มีลำดับของการวิ่งดังนี้: López, Kevelham, Mangano และ Serrano โดย Gallo อยู่ลำดับที่ 7 และ Beauvois รูดลงไปสุดทางไปอยู่ลำดับที่ 11 และเมื่อถึงรอบสนามที่ 12 López ก็ได้นำห่างขึ้นหน้าไปถึง 5.0 วินาที หากว่า López สามารถเข้าเส้นชัยเป็นอันดับแรก และ Gallo เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 7 นั้น ก็จะทำให้นักแข่งชาวสเปนคว้าแชมป์ไปครอง แต่ทว่าเขายังจะต้องลงวิ่งด้วยยางเนื้อยางปานกลางกับแข็งอยู่อีก พอ López เข้าพิตเพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิงกับเปลี่ยนยาง แต่ก็ยังใช้ยางเนื้อยางอ่อน นี่หมายความว่าเขาเลือกที่จะใช้กลยุทธ์การเข้าพิต 4 ครั้ง หลายคนรู้สึกว่าการทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย เพราะว่าคนอื่นเลือกที่จะใช้แผนการเข้าพิต 3 ครั้งกันทุกคน

เมื่อมาถึงรอบสนามที่ 14 Patrik Blazán จากประเทศฮังการีก็ได้แซงผ่าน Serrano ขึ้นไปอยู่ลำดับที่ 4 ส่วนทาง López นั้นก็ได้นำห่างออกไปอีกถึง 14 วินาที ทำให้พอมีฉนวนเวลาให้เข้าพิตได้อีก 2 ครั้ง และเมื่อเขาตัดสินใจเข้าพิตในรอบสนามที่ 18 เขาก็มีฉนวนเวลาขนาดมหึมาถึง 19 วินาที คำนวณกันอย่างง่าย ๆ ก็คือเมื่อเข้าพิตอีก 2 ครั้งก็ยังมีเวลามากพอที่จะทำให้ตนเองสามารถนำได้อยู่...แบบฉิวเฉียด และในขณะเดียวกัน Beauvois ก็ยังฮึดสู้ไม่ยอมแพ้ สามารถขยับขึ้นมาอยู่ลำดับที่ 8 ได้
และ López ก็เข้าพิตเปลี่ยนไปใช้ยางเนื้อยางปานกลาง ตามมาด้วยการเข้าพิตครั้งสุดท้ายตามกฎกำหนดเปลี่ยนไปใช้ยางเนื้อยางแข็ง ลงสนามมาอยู่ข้างหน้า Kevelham ที่ 2 กับ Blazán ที่ 3 ในรอบสนามสุดท้าย จากนั้น Blazán ก็แซง Kevelham ขึ้นมาอยู่ลำดับที่ 2 ได้ แต่ทว่าผลสรุปได้ถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Coque López ที่ใช้แผนกลยุทธ์การเข้าพิตแบบอาจหาญท้าทาย ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดสำเร็จ เพราะว่าไม่เพียงแต่ชนะการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังยึดแชมป์จาก Gallo ไปครอบครองได้ เพราะว่าสามารถเก็บแต้มสุทธิได้ถึง 38 แต้ม นำห่าง Gallo ผู้ที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 13 ถึง 14 แต้ม

“มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมากครับ” Coque López แชมป์คนใหม่ของ EMEA กล่าว “ผมรู้ว่าผมจะต้องชนะการแข่งขันครั้งนี้ แล้วผมก็โชคดี เพราะว่า Valerio (Gallo) พลาดไม่ได้ขึ้นโพเดียม ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกสงสารเขานะครับ แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขที่ผมชนะ ส่วนแผนกลยุทธ์การเข้าพิต ตอนที่ผมนำอยู่แล้วก็พบว่านำห่างคนอื่นมากพอเกินกว่าเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในพิต ผมก็ตัดสินใจเลยว่าจะเปลี่ยนจากการเข้า 3 รอบเป็นการเข้า 4 รอบเพื่อใช้ยางเนื้อยางอ่อนให้ได้มากที่สุด”

ผลการแข่งขัน รายการแข่งขันประจำปี 2020 Nations Cup - ภูมิภาครอบสุดท้าย (EMEA)